ผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย

ผ่าตัดเเปลงเพศเป็นชาย

นอกจากการ ผ่าตัดแปลงเพศ จากชายเป็นหญิงที่เราเห็นกันมามากและเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว การ ผ่าตัดแปลงเพศ จากหญิงเป็นชาย ก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นและยังได้รับการยอมรับจากสังคมมากขึ้นด้วย

คุณสมบัติผู้ที่เข้ารับการ ผ่าตัดแปลงเพศ

  • ผู้ที่ต้องการ ผ่าตัดแปลงเพศ ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป (น้อยกว่า 20 ปี ต้องมีจดหมายรับรองจากผู้ปกครองเพื่อยินยอมการผ่าตัด)
  • ใช้ชีวิตเป็นผู้ชายติดต่อกันมากกว่า 1 ปีขึ้นไป รวมถึงเคยได้รับฮอร์โมนเพศชายมาก่อนอย่างน้อย 1 ปี ในรายที่ต้องการผ่าตัดอวัยวะเพศหญิงที่สำคัญ เช่น ตัดมดลูก, รังไข่
  • ผ่านการประเมินสภาพจิตใจและมีใบรับรองจากจิตแพทย์อย่างน้อย 2 ท่าน
  • สุขภาพร่างกายแข็งแรง

การใช้ฮอร์โมนก่อนการ ผ่าตัดแปลงเพศ

โดยทั่วไปแล้วก่อนที่คนไข้จะตัดสินใจ ผ่าตัดแปลงเพศ จิตแพทย์จะต้องทำการทดสอบคนไข้ก่อนว่าพร้อมที่จะใช้ชีวิตเป็นผู้ชายหรือไม่โดยการให้คนไข้รับฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรน (Testosterone) ก่อนการผ่าตัด วัตถุประสงค์หลักของการใช้ฮอร์โมนคือเพื่อเพิ่มลักษณะของเพศชายได้แก่ กล้ามเนื้อและเสียงที่ทุ้มต่ำ เป็นต้น ลักษณะเหล่านี้จะเกิดขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของฮอร์โมน ปริมาณฮอร์โมนที่ได้รับ และการตอบสนองต่อฮอร์โมนจากคนไข้เอง หลังจากเริ่มรับฮอร์โมนไปแล้วคนไข้จะมีอาการต่างๆได้แก่ มีอาการผิวมันและเป็นสิวหลังจากรับฮอร์โมนไปแล้วประมาณ 1 ถึง 3 เดือน หรือเสียงเริ่มทุ้มต่ำหลังจากรับฮอร์โมนไปแล้วประมาณ 3 ถึง 6 เดือน หรือแม้กระทั่งประจำเดือนเริ่มขาดตั้งแต่ 1 ถึง 6 เดือนหลังจากเริ่มรับฮอร์โมน อย่างไรก็ตามยังมีอาการต่างๆอีกมากที่จะเกิดขึ้นกับคนไข้ ดังนั้นการใช้ฮอร์โมนควรอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์อย่างเคร่งครัด

 

ขั้นตอนผ่าตัดแปลงเพศ

ขั้นตอนสำคัญของการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชายมีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 : การผ่าตัดเอาเต้านมออก ร่วมกับการตัดมดลูกและรังไข่ออก

ขั้นตอนที่ 2 : การผ่าตัดปิดช่องคลอดร่วมกับการยืดท่อปัสสาวะ การสร้างท่อปัสสาวะที่ท้องแขนโดยใช้ผิวหนังบริเวณสะโพก

ขั้นตอนที่ 3 : การผ่าตัดสร้างอวัยวะเพศด้วยเนื้อเยื่อที่ท้องแขนและสร้างถุงอัณฑะโดยใช้เนื้อเยื่อจากแคมใหญ่

วิธีการสร้างอวัยวะเพศชาย

การสร้างอวัยวะเพศชายเทียมมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่ การนำเนื้อส่วนหน้าท้องมาทำ วิธีการนี้จะต้องผ่าตัดทั้งหมดประมาณ 3 ถึง 4 ครั้งด้วยกัน

(1) การม้วนเนื้อหน้าท้องมาไว้ที่เอวเพื่อนำมาทำเป็นท่อปัสสาวะ

(2) ผ่าตัดย้ายท่อปัสสาวะที่ทำขึ้นมาใหม่ไปไว้ที่อวัยวะเพศ

(3) ผ่าตัดต่อให้มีลักษณะเป็นท่อปัสสาวะยื่นออกมาจากอวัยวะเพศ

(4) ฝังแกนอวัยวะเพศชายเทียมซึ่งสามารถกำหนดความยาวได้โดยประมาณ 4 ถึง 5 นิ้ว หรือขึ้นอยู่กับพื้นที่เนื้อหน้าท้อง ข้อเสียของวิธีการนี้คือมีการผ่าตัดหลายขั้นตอน มีแผลเป็นเกิดขึ้นมากแต่สามารถปกปิดด้วยเสื้อผ้า ค่าใช้จ่ายสูง และคนไข้ไม่มีความรู้สึกทางเพศเมื่อมีเพศสัมพันธ์

 

วิธีแปลงเพศเป็นผู้ชาย

วิธีการสุดท้าย (Metoidioplasty) เป็นวิธีที่นิยมทำกันมากในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากคนไข้จะยังคงมีความรู้สึกทางเพศเมื่อมีเพศสัมพันธ์ วิธีการเริ่มต้นจากการให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรน (Testosterone) กับคนไข้ในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งฮอร์โมนจะไปช่วยขยายคลิโตริส (Clitoris) ให้มีขนาดเพิ่มขึ้นประมาณ 4 ถึง 6 เซนติเมตร หลังจากนั้นศัลยแพทย์จึงทำการย้ายคลิโตริสให้มาอยู่ในตำแหน่งของอวัยวะเพศชาย ข้อดีของวิธีการนี้นอกจากคนไข้จะมีความรู้สึกทางเพศเมื่อมีเพศสัมพันธ์ดังที่กล่าวมาแล้ว ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดก็ต่ำ อย่างไรก็ตามอวัยวะเพศใหม่ที่ได้จะมีขนาดประมาณ 1 นิ้วเท่านั้น

การจะเปลี่ยนเพศขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นจะรู้สึกไม่อยากเป็นเพศนั้นเมื่อไร และต้องมีการประเมินจากจิตแพทย์วัยรุ่นด้วย ซึ่งการฉีดยายับยั้งฮอร์โมนเพศตั้งแต่อายุยังน้อยจะช่วยให้การผ่าตัดแปลงเพศได้ผลดีกว่า เพราะสรีระเพศหญิงชายยังไม่ชัด แต่หากสรีระทางเพศชัดเจนแล้วก็ต้องอาศัยการผ่าตัดเข้าช่วยเหลือ สำหรับยายับยั้งฮอร์โมนไม่ส่งผลกระทบอะไร หากต้องการกลับเป็นเพศเดิมก็หยุดฉีดได้ แต่ที่เป็นปัญหาคือการกินฮอร์โมนข้ามเพศ จนสรีระเปลี่ยนไปแล้ว การจะกลับคืนรูปร่างเดิมก็จะยาก

About The Author